ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

คนเมืองกินแกลบ

๑๒ เม.ย. ๒๕๕๓

 

คนเมืองกินแกลบ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โดยความเชื่อเห็นไหม คนมาถามบ่อยมากเลย เขาบอก เขามีความเชื่อว่าเราเป็นคนเมืองกัน คนเมืองเลยทำสมาธิไม่ได้ไม่ต้องทำสมาธิ เพราะคนเมืองทำสมาธิไม่ได้ เพราะเราทำสมาธิกันมันทำยากไง คนเมืองทำไมทำสมาธิไม่ได้ คนเมืองสิคนเมืองต่างหากทำสมาธิได้ง่าย เพราะคนเมืองคือปัญญาชน คำว่าปัญญาชน ปัญญาชนคือมีการศึกษามา มีการทำวิจัยมา ดูสิ ผู้ช่วย รองศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์นี้ เขาทำไมถึงได้ทางวิชาการล่ะ เขาได้วิชาการเพราะว่าเขาทำการวิจัยใช่ไหม คนทำวิจัยนี่มันจะต้องมีสมาธิไหม ถ้าไม่มีสมาธิจะทำวิจัยได้ยังไง แล้วบอกว่าคนเมืองทำสมาธิไม่ได้ เอาอะไรมาพูดว่าคนเมืองทำสมาธิไม่ได้ ถ้าคนเมืองทำสมาธิไม่ได้ คนเมืองก็โง่น่าดูเลยล่ะ คนเมืองคือคนโง่หรือคนฉลาด คนเมืองกับคนบ้านนอก ใครฉลาดกว่ากัน คนเมืองต้องฉลาดกว่าคนบ้านนอก

แล้วถ้าคนเมืองทำสมาธิไม่ได้ คนเมืองก็ต้องโง่กว่าสิ มันก็เหมือน เห็นไหม คนบ้านนอกคอกนาเขากินข้าว ไอ้คนเมืองกินแกลบใช่ไหม อ้าวคนก็กินข้าวเหมือนกันนะ คนเมืองไม่ได้กินแกลบเว้ย ไอ้นี่คนเมืองกินแกลบ พอเขามาบอกว่า คนเมืองทำสมาธิไม่ได้ ก็เชื่อเลย โอ้ ก็เราเป็นคนเมือง มีคนมาถามบ่อยว่า หลวงพ่อจริงไหมว่าคนเมืองทำสมาธิไม่ได้ เพราะเขาถือว่าเขาเป็นคนเมือง  ฉะนั้นพอบอกว่ามีอาจารย์สอนว่าคนเมืองทำสมาธิไม่ได้ให้ใช้ปัญญาไปเลย แล้วใช้ปัญญาไปเลยนั่นมันปัญญาอะไร ฉะนั้นแสดงว่าคนเมืองนี้กินแกลบ คนบ้านนอกเขากินข้าว คนเมืองก็กินข้าวเหมือนกัน ถ้ากินข้าวเหมือนกัน ทำไมคนบ้านนอกเขาทำสมาธิได้ ทำไมคนเมืองกินแกลบทำสมาธิไม่ได้ กินแกลบต้องทำสมาธิได้เพราะแกลบมันไม่หนักท้อง ข้าวนี่ กินแล้วมันหนักท้อง กินแล้วมันอืดอาด เวลาภาวนาแล้วมันภาวนาไม่ลง กินแกลบแล้วท้องมันเบา มันต้องภาวนาได้สิ

นี่คนเมืองกินแกลบ กินแกลบถึงทำสมาธิไม่ได้ ทำสมาธิได้ ไม่ใช่ทำสมาธิได้ธรรมดานะ มันเป็นที่ว่า ต้องมีสมาธิดีกว่าอยู่แล้วด้วย เพราะคำว่ามีสมาธิดีกว่าอยู่แล้วเห็นไหม เราทำสิ่งใดมันจะมีผลตอบรับของเรามา แล้วเราทำมาปัญญาเราก็มี ทุกอย่างเราก็มี แล้วทำไมถึงทำสมาธิไม่ได้ ทำสมาธิไม่ได้เพราะว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะว่าตัณหา เพราะถือว่าตัวเองมีความรู้ไง ไอ้ว่ามีความรู้ ความรู้นี่แหละ มันมาทำให้ฟุ้งซ่าน เพราะคิดว่ามีความรู้  เพราะอะไร เพราะความรู้อันนั้นคือกิเลสมันหลอกใช้ กิเลสมันเป็นกิเลสของเรา เพราะคนเกิดมามีกิเลสหมด แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเอาปัญญาเรามาใช้ แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากคืออวิชชาคือความไม่รู้ตัวใช่ไหม พอมันรู้อะไรขึ้นมา มันว่ามันเก่งมันอวดเก่งอวดรู้ไง มันเลยทำสมาธิไม่ได้ คำว่าทำสมาธิไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันมีสมาธิอยู่แล้ว  ทำไมจะทำสมาธิไม่ได้ล่ะ ทั้งๆที่มีสมาธิอยู่ คือสมาธิของปุถุชนไง

ดูสิ คนทำงานนี้ถ้าใครมีสมาธิดี ก็ทำงานดีใช่ไหม เราทำงานกันไม่ดีเพราะเราขาดสมาธิ สมาธิเราสั้น เราทำอะไร เราผิดพลาดเพราะสมาธิเราไม่ดี ถ้าสมาธิเราดีนี่เราจะทำงานดีถูกต้องไปหมด มีสติสัมปชัญญะ หยิบจับสิ่งใดถูกต้องดีงามไปหมด นี่ล่ะคือสมาธิ แต่เป็นสมาธิของปุถุชน สมาธิอย่างนี้มันแก้กิเลสไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอน ศีล สมาธิ ปัญญา     ศีล ถ้าพูดถึงศีล ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เห็นไหม สมาธิก็ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ   ศีลเห็นไหม มันมีศีลอาราธนาศีล วิรัตศีล ศีลเกิดจากจิตมันวิปัสสนาญาณมันสมุจเฉทปหานเห็นไหม ศีลนั้นมันเป็นศีลของใครล่ะ ศีลมันก็มีตั้งหลายระดับนะ นี่มาถึงก็ขอศีล ขอศีล โอ๋ ไม่ให้ศีลนะ ไม่มีศีล ไอ้ศีลอย่างนี้ไอ้นี่ไอ้ศูนย์  ศูนย์เพราะอะไร เพราะมันไม่มีความมั่นใจเลย ไม่มีความมั่นใจว่าเรานี้จะปกติได้เลย เราต้องไปขอศีล  ให้พระให้ศีล ไอ้พระก็มีศูนย์อยู่แล้วนะ เพราะพระมันก็กะล่อน   เราบอกว่าพระก็กะล่อนพระมีแต่เล่ห์กล แล้วเอาศีลอะไรมาให้เขาล่ะ ตัวเองก็ยังไม่มีศีล นั่นคือศีลนี้โดยอาราธนา  ศีลโดยวิรัตเห็นไหม เราเป็นคนมั่นใจ เรามีความมั่นใจของเรา   ศีลหรือ  ศีลคือความปกติของใจ เราปกติอยู่แล้ว เราตั้งศีลเดี๋ยวนี้เลย

ดูสิ มันมีอยู่ในพระไตรปิฎกนะ มันมีชาวประมงเขาออกทะเล พอออกทะเลนี่มันก็หาปลามาได้เต็มลำเรือเลย พอกลับมาก็เจอพายุใหญ่มาก พอเจอพายุใหญ่มาก วิรัตเดี๋ยวนั้นเลยนะ  ข้าพเจ้าขอถือศีล ๕  ทั้งๆ ที่เป็นชาวประมงหาปลามาเต็มลำเรือ พอเจอพายุเรือมันจะล่มไง ข้าพเจ้าขอถือศีล ๕  ถือศีล ๕ เดี๋ยวนั้นเพราะคนมันกำลังวิกฤติใช่ไหม เพราะพายุมานี่เรือมันล่มอยู่แล้ว พอเรือล่มนี่ชีวิตนี้มันต้องมีอันเป็นไปอยู่แล้ว วิรัตเดี๋ยวนั้นเลย พอเข้าถือศีล ๕ แล้วก็ล่มจริงๆ แล้วก็เสียชีวิตจริงๆ แล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดาจริงๆ อยู่ในสุตตันตปิฎก อยู่ในพระไตรปิฎก นี่ไง วิรัตเดี๋ยวนั้นได้เดี๋ยวนั้นเลย ขนาดศีลมันยังมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด มีละเอียดสุดนะ ศีลเป็นอธิศีล ศีลโดยสมุจเฉท

ศีลสมุจเฉทนี่ อย่างโสดาบันที่ว่าไม่สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบคลำเห็นไหม ศีลของเขาปกติของเขา นี่พูดถึงศีลนะ  แล้วสมาธิล่ะ พูดถึงสมาธิของปุถุชนไง  สมาธิอย่างนี้มันก็มี  เราไปเข้าใจว่าสมาธิคือความหยุดนิ่ง พอสมาธิหยุดนิ่งปั๊บ  นี่ความหยุดนิ่ง พอเรามีหลักมีเกณฑ์ เรามีสติของเรา เรามีสมาธิของเรา อันนี้เป็นสมาธิของปุถุชน ถ้าขาดสมาธินะ ขาดสมาธิก็เหมือนคนบ้าไง ดูคนบ้านั่นคือคนไม่มีสมาธิ คนไม่มีสมาธินี่มีแต่จิตมันไม่มีสมาธิ ไอ้เรามีจิตด้วยมีสมาธิด้วย แล้วบอกคนเมืองทำสมาธิไม่ได้ คนเมืองกินแกลบ บ้านนอกเขากินข้าวกัน แล้วคนเมืองก็ไปเชื่อ มันเป็นไปไม่ได้ มนุษย์ทุกคนมีค่าเท่ากันไม่มีคนเมืองคนบ้านนอกคอกนาหรอก

ดูสิ รัฐธรรมนูญเขียนไว้เลยนะ ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ รัฐธรรมนูญมันยังค้ำประกันความเป็นมนุษย์ของเราเลย แล้วใครมาแบ่งแยกคนเมืองกับคนบ้านนอก ไอ้คนบ้านนอกคนชนบทที่โยกย้ายมาอยู่ในเมือง ไอ้คนในเมืองมันมาจากไหน มันก็มาจากบ้านนอกคอกนานั่น แล้วไอ้คนในเมืองมันก็อยากไปอยู่ชนบทเพราะอะไร เพราะอากาศมันดี ไอ้คนเมืองก็อยากไปอยู่บ้านนอก ไอ้บ้านนอกก็อยากอยู่ในเมืองเพราะในเมืองมันมีสัมมาอาชีวะ มันทำวิชาชีพของมันได้ นี่ไอ้คนบ้านนอกก็อยากหาโอกาสเข้ามาในเมือง แล้วบอกว่าไอ้คนเมืองทำสมาธิไม่ได้ ไอ้คนเมืองก็ดันเชื่อ

แล้วมาบอกคนเมืองทำสมาธิไม่ได้ ทำไมจะทำไม่ได้ คนเมืองทำสมาธิไม่ได้ไม่ใช่คนหรือ คนเมืองทำสมาธิได้ แต่วิธีการทำสมาธินี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ท่านบอกไว้แล้ว ศรัทธาจริตเห็นไหม ศรัทธาจริตมีความเชื่อมั่นมาก เพราะมีศรัทธานี่ พุทโธๆๆเห็นไหม นี่จิตมันจะลงสมาธิได้ จิตลงสมาธิได้เพราะอะไร จิตลงสมาธิได้เพราะโดยข้อเท็จจริง จิตมันเป็นธรรมชาติรู้ ธาตุรู้นี่เป็นธรรมชาติที่รู้ ความรับรู้นี่ รู้เฉยๆนี่ธรรมชาติ นี่คือตัวจิต และธรรมชาติที่รู้นี่ มันรู้ในอะไรล่ะ มันไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่มีสามัญสำนึกในตัวมันเองมันก็รู้โดยอารมณ์ อารมณ์ความรู้สึกมันไปเกาะเกี่ยวความรู้สึก

พุทโธๆนี่ คืออารมณ์ความรู้สึก  เพราะเรานึกพุทโธๆขึ้นมาเห็นไหม ไอ้ธรรมชาติที่รู้นี่ มันไปรู้ที่ พุทโธๆๆๆๆๆๆ พุทโธเรื่อยๆเพราะพุทโธนี้เป็นพุทธานุสสติ พุทธานุสสติเพราะอะไร พุทธานุสสติเพราะว่า พุทโธ เป็นพุทธะ พุทธะมันพุทโธแล้วมันจบ  มันจบไง พอมันจบคือว่ามันไม่ออกไป มันตีกลับเห็นไหม ตีกลับมาพุทโธๆๆ ในตัวมันเอง พอมันนึกพุทโธไม่ได้เห็นไหม ธรรมชาติที่รู้ ธรรมชาติที่รู้นี่มันต้องรู้ที่อารมณ์ ทีนี้พอเรากำหนดอารมณ์เป็นพุทธานุสสติขึ้นมาจนถึงที่สุด ธรรมชาติที่รู้ อารมณ์นั้นกล่อมธรรมชาตินี้จนธรรมชาตินี้ยืนตัวได้เห็นไหม นี่คือสัมมาสมาธิ นี่คือศรัทธาจริต

พุทธจริตต่างหาก คำว่าพุทธจริตคือว่าคนเมือง  มันไม่มีคนเมืองคนบ้านนอกคอกนา คนคือคน ศักยภาพของมนุษย์ เห็นไหม ศักยภาพของมนุษย์ รัฐธรรมนูญรับรองว่าเสมอภาคทัดเทียมกัน ทัดเทียมกันมันไม่มีคนเมืองคนบ้านนอก คนในเมืองหรือคนบ้านนอกนี่มันสมมุติเราบัญญัติกันเอง ไอ้คนบ้านนอกคอกนามันมาอยู่ในเมือง ดูสิ ทาสสมัยโบราณเป็นถึงกษัตริย์ปกครองคนเลยนะ ทาสเข้ามาเป็นกษัตริย์นะ แล้วกษัตริย์เวลาเขาจับได้ก็เอาไปเป็นทาส เวลาเขาปราบดาภิเษกนะพวกราชวงศ์เขาเอาไปเป็นทาส เอาเป็นกรรมกรเลย เอาเป็นคนกรรมกรเลี้ยงไอ้นั่นเลย  นี่แล้วมันอยู่ตรงไหนล่ะ ไอ้คนเมืองคนบ้านนอกมันเป็นการสมมุติกันขึ้นมา

ฉะนั้นเพียงแต่ว่า ถ้าเป็นศรัทธาจริตมันก็อย่างหนึ่ง พุทธจริต จริตที่มีปัญญา คำว่ามีปัญญานี่ พอมีปัญญาขึ้นมานี่กิเลสมันก็หลอก กูนี้ปัญญามาก กูนี้เก่ง กูนี้รู้ไง มันก็รู้อยู่อย่างนั้น มันไม่จบเห็นไหม พอรู้   รู้แล้วมันส่งออกเห็นไหมนี่ ปัญญามันส่งออก  นี่ปัญญาของปุถุชน มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาจากโลก  ปัญญาจากจิต ธรรมชาติที่รู้นี่มันต้องเสวยอารมณ์มันถึงแสดงตัวของมัน พุทโธๆ นี่ มันก็ย้อนกลับมา  นี่เป็นกำปั้นทุบดิน  นี่พุทธานุสสติ

เขาบอกว่าพุทธานุสสติใช่ไหม เมื่อวานเขามาพูดเห็นไหม พุทธานุสสติก็ผิด เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดพุทธานุสสติ พระพุทธเจ้ากำหนดพุทโธที่ไหน พระพุทธเจ้ากำหนดลมหายใจ พระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดพุทโธแต่พระพุทธเจ้าเป็นพุทโธซะเอง เพราะพุทธะมันมีอยู่แล้ว ความรู้สึกมันมีอยู่แล้ว พุทโธๆๆ นี่ พระพุทธเจ้ากำหนดลมหายใจก็จริงอยู่ แต่พระพุทธเจ้าเป็นพุทธะ เอาอะไรกำหนดล่ะ ก็เอาผู้รู้กำหนด ตอนนั้นพระพุทธเจ้ายังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าใช่ไหม ก็กำหนดลมหายใจเพราะยังไม่มีบัญญัติขึ้นมา ยังไม่มีศาสนา แล้วพอบัญญัติขึ้นมาพระพุทธเจ้าบัญญัติศาสนา พระพุทธเจ้าบัญญัติพุทโธๆ นี่ ลมหายใจก็เป็นลมหายใจ พุทโธก็คือพุทโธ เห็นไหม นี่คือธรรมชาติที่รู้ มันรู้อารมณ์ มันต้องรู้อารมณ์ต่างๆ มันถึงมีสติสัมปชัญญะแล้วมันจะย้อนกลับมาตัวมัน

ฉะนั้น เวลาธรรมชาติที่รู้นี่ มันต้องรู้อารมณ์ใช่ไหม ทีนี้เวลาเราบอกว่าเราเป็นปัญญาชน เราว่าเรามีปัญญามาก เรามีปัญญามาก เราก็รู้อารมณ์ ปัญญานั้นคืออารมณ์นั่นแหละเพราะมันเป็นสัญญา เพราะว่าถ้าเป็นสสารถ้าเป็นวัตถุนี่มันตายตัว อย่างเช่นตำรับตำรานี่ เราเก็บไว้ในตู้สิ มันก็อยู่แค่นั้น แต่ความคิดของเราเห็นไหม ความคิดเราคิดในเรื่องสิ่งใดนี่ เราคิดขยายความได้ไหม เราคิดให้มันต่อเนื่องได้ไหม  ต่อยอดได้ไหม นี่ไง ความคิดนี้มันไม่ใช่หนังสือนะ ไม่ใช่ข้อมูลที่ตายตัว ความคิดนี้มันมีจิต  มันมีชีวิตเห็นไหม

พอมีชีวิตขึ้นมานี่ ธรรมชาติที่รู้นี่มันรู้อารมณ์ อารมณ์ก็เป็นความคิดเป็นความรู้สึกนี่ มันก็รู้สึกออกไป แล้วมันมีตัณหาความทะยานอยาก มีความถือมั่นในตัวมันเองว่ากูนี้เป็นคนฉลาด กูนี้พุทธปัญญา กูเป็นพุทธจริต  นิสัยมันยึดมั่นตัวมันเองมากมันก็เลยฟุ้งซ่านออกไปเห็นไหม ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมานี่มันก็ไล่ตามความคิดของมันขึ้นมา ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมาเห็นไหมนี่ ปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา   มันมี  ที่เขาว่าใช้ปัญญาๆ ไปเลย  ถึงที่สุดแล้วขบวนการปฏิบัติที่สุดทุกขบวนการ ผลของการปฏิบัติทั้งหมดคือสมถะทั้งหมด ผลของการปฏิบัตินั้นมันเป็นสมาธิทั้งหมด แต่ถ้าต้นขั้ว เจตนาตั้งใจนี้ผิด มันเป็นมิจฉานะ มันเป็นมิจฉาสมาธิ มันเป็นความผิดหมดเลย เพราะไปคิดว่า

“โอ้..นี่เป็นปัญญานี่เป็นวิปัสสนา..

โอ๋..รู้เท่าทันนะ จิตมันจะรวมลง..

โอ๋..มันเป็นสมาธิสว่างไสว..”  

โกหกทั้งเพ! โกหกทั้งนั้น! ความจริงไม่เป็นอย่างนี้!

ความจริงนี่ ถ้าพุทโธๆ นี่คือศรัทธาจริต จิตมันลง มันลงยังไง ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ แล้วถ้าเป็นสมาธิก็คือสมาธิ แต่ถ้ามีอำนาจวาสนา  มันเกิดแสงสว่างเกิดต่างๆนั่นมันเป็นเพราะจริตนิสัยเพราะมันเป็นอำนาจวาสนาของจิตนั้น มันไม่เป็นโดยมาตรฐานนะ

ที่บอกว่า  “พอจิตมันจะลงมันสว่างอย่างนั้นๆ นะ”

ไม่ใช่! มันไม่ใช่ตั๋วรถไฟ ตั๋วรถไฟมีชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสาม

ตู้รถไฟมีชั้นเป็นชั้นของมันใช่ไหม ตีตั๋วชั้นหนึ่งก็ได้ชั้นหนึ่ง ตีตั๋วชั้นสองได้ชั้นสอง

ตีตั๋วชั้นสามได้ชั้นสาม

“จิตก็เหมือนกันเป็นสมาธิแล้วต้องเป็นอย่างนั้น”

ไม่ใช่! เป็นสมาธิมันเป็นของมันเอง สมาธิคือสมาธิ ตัวสมาธิอย่างหนึ่ง ตัวสมาธิคือความสงบของใจ ไอ้แสงสว่าง ไอ้ความรับรู้ความว่างนั้นมันเป็นผล มันเป็นผลที่สมาธิออกรู้อีกทีหนึ่ง มันไม่ใช่ตัวสมาธิ ตัวสมาธิคือตัวจิตสงบเฉยๆ แต่ไอ้แสงสว่างนั้น จิตมันรู้ขึ้นมามันมีอำนาจวาสนามันเกิดแสงโอภาส แล้วเกิดถ้ามันรู้นิมิตขึ้นมาอีกนั่นมันคนละเรื่องกัน

สมาธิคือตัวหลัก สมาธิคือจิตสงบ แล้วความรู้ความเห็นนั้นมันเป็นแขนงของมันออกไปแล้วแต่จริตนิสัยของคนที่มันจะเป็น แต่นี้บอกว่า

“โอ้ จิตมันจะสงบนะ มันสว่างไสวนะ”

ขี้โม้! ไม่จริง!  คนทำสมาธิไม่เป็นมันพูดอะไรมันผิดไปหมดล่ะ พูดสมาธิก็พูดสมาธิผิดๆ แล้วบอกว่าคนเมืองทำสมาธิไม่ได้ให้ใช้ปัญญาไปเลย ไอ้คนเมืองมาก็ผมคนเมืองผมต้องใช้ปัญญาไปเลย ผมคนเมือง  แล้วมันเป็นเรื่องของกิเลสด้วย กิเลสเพราะอะไร เพราะเราทำสมาธิได้ยาก คนนี่เอาชนะตัวเองยากที่สุด การทำสมาธิคือการเอาชนะตัวเอง การแพ้ตัวเองคือแพ้ความคิด แพ้ความคิดเรา แพ้ตัวตนของเรา ตัวตนของเรามันมีอีโก้สูง มันมีแต่ความคิด มันมีของมันมากไป มันแสดงตัวของมัน นั่นล่ะคือมันแสดงตัวของมันเต็มที่ จิตเราก็อยู่ใต้อุ้งเท้าเขานะ นอนจมให้เขาเหยียบอยู่นะ ไอ้ความคิดก็คิดใหญ่เลยนะ โอ้โฮ เก่ง รู้ สุดยอดเลย มันเหยียบจิตไม่รู้เรื่องนะ เห็นไหม นี่ มันแพ้ตัวเอง

ถ้าจะเอาชนะตัวเอง จิตมันต้องตั้งสติขึ้นมา ไอ้ความคิดมันมาจากไหน ไอ้ความทุกข์นี่มันมาจากไหน ไอ้ที่เหยียบย่ำนี่ ใครมันเหยียบย่ำวะ เราไล่เข้าไปเรื่อยๆนะ มันจะมีสติปัญญามันจะรู้เท่านะ พอมันรู้เท่ามันก็เริ่มปล่อยวาง ปล่อยวาง นี่คือปัญญาอบรมสมาธิ เพราะอะไร เพราะมันมีคนกระทำใช่ไหม มันมีสติ มีสติตามความคิดไป พอมันปล่อยวางขึ้นมานี่มันเหลืออะไร ครูบาอาจารย์ที่ภาวนาเป็นนะ กำหนดพุทโธหรือปัญญาอบรมสมาธิ  เวลาจิตสงบท่านจะถามว่าแล้วมันเป็นยังไง มันเหลืออะไรล่ะ เราใช้ปัญญาไล่ไปเรื่อย โอ๋..ปัญญานี้ไล่ไปเรื่อยนะ ไล่ไปแล้ว แล้วมันเหลืออะไร ก็เหลือสติ เหลือจิตนะ เหลือ..  เหลือ..เห็นไหม ที่พูดเมื่อวานเห็นไหม จิตไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แล้วมันเป็นอะไรล่ะ มันเป็นอะไร มันไม่ใช่สัตว์แล้วมันเป็นอะไรล่ะ ไม่ใช่สัตว์ก็เป็นเปรตใช่ไหม มันไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แล้วมันเป็นอะไรล่ะ ถ้าจิตมันมีสติ เอ๊าะ ก็เป็นสมาธิ ก็เป็นเราเห็นไหม

ถึงบอกว่าขบวนการปฏิบัติทั้งหมด  สิ้นสุดขบวนการของมันคือสมถะ คือสมาธิทั้งหมด แต่!  แต่เพราะไม่มีสติปัญญา แต่เพราะไม่เคยทำ แต่เพราะไม่มีครูบาอาจารย์ ตัวเองไม่เคยทำด้วยไม่เคยศึกษากับใครด้วยก็เลยครูพักลักจำ บอกว่า

“สมาธิมันจะสว่างไสวนะ มันจะว่าง มันจะมีความสงบนะ”

 เวลาพูดก็ชักแม่น้ำทั้งห้า จะพูดเรื่องอะไรก็แล้วแต่ก็กลับมาว่า  “มันจะสว่าง” ไอ้คนที่มันเคยฟังมาใช่ไหม พวกปัญญาชนพวกคนเมืองกินแกลบ พอมันบอกว่า “สว่าง”

ก็เข้าใจว่า  “อ๋อ.. นี่ ได้สมาธิแล้ว  เพราะมันสว่าง”

ไอ้นี่มันเป็นผลไง ถ้ามันเป็นผลแล้ววิธีการมาถึงผลมันมายังไง  เราจะมาจากบ้านจากเรือนเรามาที่นี่ คนมาโดยรถส่วนตัว คนมารถเมล์ คนมารถอะไร มันมาอย่างไร นี่ไงจะเป็นสมาธิมันเป็นยังไง จะเป็นสมาธิจะเป็นยังไง มีเหตุอะไรให้เป็นสมาธิ มีเหตุอะไรกำหนดอะไรขึ้นมามันถึงเป็นสมาธิ   นี่ไม่มี อยู่เฉยๆมันก็สว่างเลย   อยู่เฉยๆมันก็พระอาทิตย์น่ะสิ  เขาว่า “ดูอยู่เฉยๆ จิตมันจะลงเอง ถ้าลงแล้วเป็นสมาธิมันจะลงอยู่ที่ไหน มันก็ต้องลงอยู่ที่ใจ” แล้วก็บอกว่า  “ไม่ต้องทำ มันจะเป็นของมันเอง” แล้วพูดถึง “คนเมืองทำไม่ได้”

มันมีคนเมืองมาพูดให้เราฟังเยอะ แล้วคนเมืองบอกว่า เขาก็เชื่อโดยสนิทใจว่าเราเป็นคนเมือง คนเมืองเพราะอะไร คนเมืองเพราะว่าเราทำอาชีพการบริหารจัดการ แล้วพอบอกว่าคนเมืองทำสมาธิไม่ได้  ก็จริง  เพราะเราไม่เคยทำได้เลย แล้วบอกว่าให้ใช้ปัญญาไปเลยก็จริงอีก จริงเพราะอะไร เพราะใช้ปัญญาแล้วมันเพลินดีว่ะ ใช้ปัญญาแล้วสบายๆ มันก็สบายๆ สบายเพราะอะไรล่ะ พวกเรานี่เป็นผู้ที่รับผิดชอบ ตื่นเช้าขึ้นมาเราต้องรับผิดชอบในที่อยู่อาศัยของเรา เราต้องเก็บที่นอนเก็บต่างๆเห็นไหม เราต้องทำความสะอาดร่างกายของเราเพื่อออกไปทำงานใช่ไหม ออกไปทำงาน นี่คืออะไร นี่คือกติกาที่เราต้องทำใช่ไหม แล้วพอมาบอกว่า ไม่ต้องทำอะไรเลย เอ้อระเหยลอยชายยังไงก็ได้ จะไปทำงานก็ได้ไม่ทำก็ได้ จะนอนก็ได้ จะลุกก็ได้ สบายไหมล่ะ มันก็สบาย แต่เป็นคนดีไหมล่ะ เป็นความจริงไหมล่ะ

ไม่ใช่ความจริง มันไม่เป็นความจริงเพราะอะไร มันไม่เป็นความจริงเพราะมันเป็นไปไม่ได้ เรามีหน้าที่อะไรเราก็ต้องทำงานในหน้าที่นั้น  เราก็ต้องรับผิดชอบของเราทำงานของเราดูแลในความรับผิดชอบของเราให้มันถูกต้อง มันเป็นวัตถุ มันเป็นความเป็นอยู่ มันมีลมหายใจ มันมีความรู้สึกนี่มันเปรียบเทียบได้ แต่เวลาเป็นความคิดนั้นมันเป็นนามธรรม พอเป็นนามธรรมนี่มันไม่มีขอบเขต  ว่าอะไรผิดอะไรถูก เราเลยไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกใช่ไหม แล้วพอเราปล่อยมันโดยที่ไม่มีขอบเขต ไม่มีสติ ไม่มีอะไรบังคับบัญชานี่ มันก็สบายๆใช่ไหม พอมันสบายๆก็นี่ไง คนเมืองไง ไม่ต้องทำสมาธิก็สบายได้   โอ้โฮ ถูกไหม   ถูก! ถูกกิเลสไง   ถูกกินแกลบ  ไอ้พวกคนเมืองกินแกลบนะ เพราะมันยังกินแกลบอยู่เขาก็เชื่อกันไปเห็นไหม “สบายนะ โอ๋ พอไปปฏิบัติแล้ว สบาย เมื่อก่อนทุกข์มาก โอ๋ กำหนดอะไรก็ทุกข์ลำบากไปหมดเลย พอไปดูเฉยๆมันสบาย”

ไอ้พวกกินแกลบ กินแกลบก็สบายเพราะมันไม่ต้องทำมาหากิน เขาสีข้าวเขาก็เอาข้าวไปกิน เขาทิ้งแกลบ ไอ้พวกนี้ไปโกยแกลบมาแล้วเอามากิน  “สบาย ๆ”  แล้วใครมาถามว่า จริงไม่จริงนี่ พอปฏิบัติแล้วสบาย มันสบายกิเลส มันไม่จริง

พอไม่จริงเราถึงบอกว่ามันต้องทำสมาธิ แล้วการทำสมาธิใครก็ทำได้ คนเมืองคนบ้านนอกคอกนาคนไหนก็ทำเหมือนกันหมด มันเป็นที่จริตนิสัยไม่ใช่คนเมืองหรือคนไม่เป็นคนเมือง แต่ถ้าเป็นคนเมืองกินแกลบมันก็เลยเชื่อกันไปหมด  แล้วคนเมืองกินแกลบมันจะไม่ได้สิ่งใดเลย เพราะมันไม่มีอะไรตรวจสอบได้ พอไม่มีอะไรตรวจสอบได้แต่สังคมเขามีกติกาของเขานะ ดูอย่างคนทำงานนี่ ถ้าคนไหนทำงานบกพร่องนะ   นี่ตัดเงินเดือนเลย แต่เวลาจิตของเราปล่อยไปตามสบายนี่ ใครจะตัดล่ะ   กรรมมันตัดนะ กรรมมันตัดรอน

คนเราถ้ามีสติปัญญาทำนี่ จิตมันจะพัฒนาขึ้น แต่ถ้าปล่อยให้กิเลสมันครอบงำ มันจะอ่อนแอไปเรื่อยๆ นี่ กรรมมันตัดรอนจนมันเคยตัวนะ  คนภาวนาจะรู้   เวลาจิตมันติด เช่นเราตกภวังค์ มันติดในภวังค์แก้ยากมาก แต่ถ้ามันขาดสติจนเคยตัว ทำไมครูบาอาจารย์เราต้องอดนอนผ่อนอาหาร เพราะอดนอนผ่อนอาหารเพื่อไม่ให้ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มีกำลังทับจิต เวลาไม่มีกำลังทับจิตมันจะได้มีสติปัญญามันจะได้ทำของมันได้ แต่เราปล่อยมันเพ่นพ่าน  ปล่อยให้มันดื้อ ปล่อยให้มันเป็นตามอำนาจของมัน แล้วพูดคำหนึ่งว่าสบายๆแล้วดันมีคนมาการันตีมารับผิดชอบไงว่าอย่างนี้ถูกต้อง

ไอ้คนเมืองกินแกลบมันอยากสบายอยู่แล้วใช่ไหม พอมีคนมาว่าถูกต้อง แล้วมันก็สบายๆ สบายๆนั่นมันเป็นเฉพาะตอนนี้ คนเรานี่นะมันจะสบายต่อเมื่อเรายังแข็งแรงอยู่ ลองแก่ตัวลงสิมันจะสบายไหม โดยธรรมชาติของมนุษย์นี่แหละ ถ้ายังหนุ่มยังสาวนี่ยังสบายอยู่นะ ลองแก่ตัวไปสิ มันจะเจ็บไข้ได้ป่วย ร่างกายนี่มันจะเสื่อมสภาพ เดี๋ยวจะปวดหลัง ปวดเอว ปวดทุกอย่างเลย มันจะเจ็บปวดไปตลอดเลย ถึงตอนนั้นจะเสียดายว่าเวลามันผ่านไปแล้วไง

ไอ้นี่ก็เหมือนกันเวลาปฏิบัติใหม่มันสบายๆ มันสบายๆเพราะว่ามันปล่อยให้ขาดไปหมดเลย ไม่มีสิ่งใดเป็นหลักเป็นฐาน ไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์กับตัวเองเลย นี่ไงถึงบอกว่าสบายๆ   ไอ้คำว่าสบายๆนี้เราฟังมาเยอะ   เรารู้   คนเราไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ทำไมมันจะไม่สบาย  ไม่ต้องทำอะไรมันก็สบาย แต่พอเราตั้งสติขึ้นมานี่เป็น   “อัตตกิลมถานุโยค เป็นการเจตนา เป็นการจงใจ  ผิดหมด”

มันเจตนาจงใจแต่ไม่ใช่ตัณหาความทะยานอยาก ตัณหาคือปรารถนาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่การจงใจการตั้งใจเป็นการแสดงออกของคนดี ความกตัญญูกตเวที การระลึกถึงบุญคุณของคนนี่เป็นเครื่องแสดงออกของคนดี มีการแสดงที่เป็นคนดี แล้วว่าเป็นอัตตกิลมถานุโยคก็ให้มันชั่วให้หมดทั้งแผ่นดินใช่ไหม ถ้ามันชั่วหมดทั้งแผ่นดินถือเป็นความถูกต้องหรือ

ฉะนั้นการเจตนาการจงใจไม่ใช่ผิด การเจตนาการจงใจ ทุกคนต้องมีเจตนามีการจงใจ ถ้าไม่มีการจงใจ ดูสิ พระพุทธเจ้าเห็นไหม ได้หญ้า ๘ กำของพราหมณ์ “คืนนี้ เราจะได้หญ้าคานี้ปูนั่ง ถ้าเรานั่งแล้ว เราไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์เราจะไม่ลุกจากที่นั่งเราเลย” ไอ้อย่างนี้ก็เป็นกิเลสน่ะสิ อย่างนี้พระพุทธเจ้าก็ผิดตั้งแต่ยังไม่ได้ปฏิบัติเลย พระพุทธเจ้ายังไม่ทันนั่งเลยนะพระพุทธเจ้าก็ผิดแล้ว เพราะตั้งใจไง ตั้งใจว่าถ้าคืนนี้ไม่เป็นพระพุทธเจ้าจะไม่ลุกจากที่นี้ หญ้า ๘ กำของนายโสตถิยพราหมณ์ นี่ปูเลย “ถ้าคืนนี้เรานั่งเราไม่บรรลุธรรม เราไม่เป็นพระพุทธเจ้า เราจะนั่งตายคาต้นไม้นี้เลย เราจะไม่ลุกจากที่นั่งเลย”  อย่างนี้ก็ผิดน่ะสิ! ความตั้งใจจงใจไม่ผิด แต่ตัณหาความทะยานอยากยังไม่ได้ทำเลยว่า นิพพานมีอยู่แล้วนั่นสิผิด ผิดเพราะอะไร ผิดเพราะไม่มีเหตุ มันต้องมีเหตุมีผล

ความมีเหตุความจงใจนี้ไม่ผิด แต่ตัณหาความทะยานอยาก  ทำโดยที่ไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริงแต่ตัวเองคาดหมายไปอันนั้นผิด ถ้านิพพานมีอยู่แล้ว เดินชนนิพพานเลย แว้บ อยู่เฉยๆนิพพานมีอยู่แล้วเดี๋ยวมันแสดงตัวออกมา ไอ้อย่างนี้นะเราจะบอกเลยว่า นี่มิจฉา มิจฉาเพราะอะไร มิจฉาเพราะว่าถ้าใครทำสมาธิเข้าไป จิตมันสงบเข้าไปจะรู้ว่าจิตสงบ แต่อันนี้จิตไม่สงบ แต่คิดว่าเข้าไปถึงความสงบนั้นมันจะเป็นนิพพานไง เพราะมันไม่มีความปรุงแต่ง พอไม่มีความปรุงแต่งจะเป็นนิพพาน ถึงบอกว่านิพพานนี้มีอยู่แล้ว นิพพานคือตอของจิต

ถ้าตัวเองคิดว่าตอของจิตเป็นนิพพานนี่ มันก็ผิดแล้ว เพราะมันปล่อยวางหมดใช่ไหม ถ้าใครเคยเข้ากรุงเทพฯ จะรู้ว่ากรุงเทพฯมีระยะทางเท่าไหร่ รถวิ่งไประยะทางเท่านั้นจะถึงจุดนั้นๆๆ ระยะทางกี่กิโลเมตรจะถึงนครปฐม ระยะทางกี่กิโลเมตรจะถึงบางแคจะถึงกรุงเทพฯ การปฏิบัติของคนที่ผ่านมาแล้วนี่ มันรู้ มันรู้ว่าถ้าจิตมันปล่อยวางมาอย่างใดก็แล้วแต่  ผลของมันคือสมาธิ  ถ้าเป็นสัมมา คือรถของเราระยะทางของเราวิ่งไปทางถูกต้อง ถูกต้องตามระยะทางนั้นมันจะไปถึงจุดหมายนั้น  อย่างนั้น ๆระยะทางมันเป็นวิทยาศาสตร์เลย

แต่ถ้าพูดถึงคนไม่เคยทำใช่ไหม พอบอกว่าระยะทางเป็นอย่างนั้นๆ แต่เราไม่เคยไปนี่ เราก็ใช้จินตนาการของเราไปเอง พอจินตนาการของเราไปเองนี่เราบอกเลย  กรุงเทพฯนี้ ร้อยกว่ากิโลเมตรคือกรุงเทพฯ ถ้าทำไปนี่ นั่งคำนวณเลย ประมาณร้อยกิโลเมตรจะถึงกรุงเทพฯ นี่ก็เหมือนกัน พอคิดว่าดูไปเรื่อยๆเลยพอจิตมันสงบนั่นคือนิพพาน ก็บอกเลยว่านิพพานมีอยู่แล้ว กรุงเทพฯก็มีอยู่แล้ว ใช่ กรุงเทพฯมันมีอยู่แล้ว กรุงเทพฯนี่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯนั่น แล้วคนต้องมีระยะทางเดินไปสู่กรุงเทพฯนั้น นี่ก็เหมือนกัน นิพพานมันมีอยู่แล้ว ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่ระยะทางที่เข้าไปถึงนิพพานนั้น มีหรือเปล่า

ทีนี้พอมันไม่มีใช่ไหม หนึ่งไม่มี สองพอบอกว่า กำหนดเฉยๆปั๊บมันจะเข้าสู่นิพพานเอง ถ้ากำหนดเฉยๆ แล้วมันจะเข้าไปสู่ตอ แต่นั่นตอ  นั่นไม่ใช่นิพพาน เพราะอวิชชาทั้งหมด เพราะกิเลสทั้งหมด เพราะถ้าเป็นจิตเดิมแท้นี่ มันยังเป็นปฏิสนธิจิต แล้วกว่าจะเป็นจิตเดิมแท้นี่ มันมีขันธ์ครอบงำอยู่ มันยังมีเปลือกของจิตอยู่ เปลือกของจิตถ้ามันเพิกขันธ์ชั้นหนึ่งก็เป็นโสดาบัน เพิกครั้งที่สอง ครั้งที่สามนี่ เป็นสกิทาคา อนาคา แล้วไปถึงตัวของจิต ถ้าถึงตัวของจิตมันจึงจะทำลายตัวของจิตนั้น ฉะนั้นถึงว่า มันจะเป็นนิพพานไปได้ยังไง ถ้ามันจะเป็นนิพพานได้มันต้องมีการแก้ไขของมันมีเหมือนกับเข้ากรุงเทพฯนี่ ระยะทางเท่าไหร่ ถึงนครปฐม ถึงบางแค ถึงสนามหลวง นี่มันมีระยะทางเท่าไหร่ ถ้าระยะทางอย่างนั้นมันถึงเป้าหมายโดยธรรมชาติ ถ้ามีการกระทำของมัน มีขบวนการของมัน มันจะเป็น มันจะเข้าสู่นิพพานได้ตามความเป็นจริง

นี้มาบอกว่า แว้บ นิพพาน แว้บ นิพพาน นี่ มันก็เหมือนกรุงเทพฯมีอยู่แล้ว แล้วจะใช้คิดเอาเอง พอคิดเอาเองเห็นไหม นี่ขบวนการมันผิด  ยิ่งฝ่ายปริยัติเห็นไหม เพราะจิตมันยึด เพราะเรายึดมันถึงมีกิเลส ถ้าเราไม่ยึดก็ไม่มีกิเลส ถ้าไม่ยึดเราก็นั่งอยู่นี่ไง เรานั่งอยู่นี่ แล้วกรุงเทพฯอยู่กับกู เรานั่งอยู่นี่แล้วกรุงเทพฯก็อยู่กับเราด้วยใช่ไหม เพราะเราไม่ยึด นิพพานต้องอยู่กับเราใช่ไหม เรานั่งอยู่นี่กรุงเทพฯอยู่กับเราไหม ห่างกันร้อยกว่ากิโลนะ กรุงเทพฯก็อยู่กรุงเทพฯ  เราก็นั่งอยู่นี่ ก็กูไม่ได้ยึดนะ กูปล่อยวางหมดเลย ว่าง ปล่อยสบายๆเลย   อ้าว แล้วกรุงเทพฯทำไมมันไม่อยู่กับกูล่ะ

เราถึงบอกว่ามันไม่มีหรอก กรุงเทพฯก็อยู่กรุงเทพฯนั่นแหละ ถ้ามึงเดินเข้าไปสู่กรุงเทพฯ มึงจะถึงกรุงเทพฯ ถ้าเราเดินทางไปถึงกรุงเทพฯ เราจะถึงกรุงเทพฯ ถ้าเราไม่เดินทางเรานั่งอยู่นี่  อีก ๑๐๐ ชาติมึงก็ไม่ถึงกรุงเทพฯ กรุงเทพฯก็อยู่กรุงเทพฯนั่นแหละกูก็นั่งอยู่นี่ ไอ้นี่ก็เหมือนกัน จิตมีนิพพานอยู่แล้วไง ไม่ต้องทำอะไรเลย ชนนิพพานเลย สะดุดนิพพานไปเลย นิพพานมันก็มีระยะทางของจิตเข้าไปสู่นิพพานนะ ฉะนั้นที่บอกว่าถ้ายึดแล้วถึงเกิดกิเลส ไม่ยึดก็ไม่มีอะไรเลย นั่นคือธรรม ไม่ใช่ ไม่ใช่ เพราะมันปล่อยวางหมดแล้ว มันปล่อยวางสัญญาอารมณ์ 

จิต ธรรมชาติรู้ มันต้องแสดงตัวโดยการเสวยอารมณ์แสดงสิ่งที่รู้ และสิ่งที่รู้คืออารมณ์ พอมันปล่อยอารมณ์ขึ้นมา มันก็เป็นตัวมัน ตัวมันก็คือตัวอวิชชา ตัวมันคือตัวอะไร เพราะถ้ามันภาวนาเป็นนะ ฟังแค่นี้มันรู้ มันรู้ว่าสิ่งที่ว่านิพพงนิพพานอะไรนี่ มันเป็นความเชื่อของเขาไม่เป็นความจริง คนที่เป็นความจริงนี่เขามีระยะทาง ระยะเข้าไปสู่เป้าหมาย ตั้งแต่สติ ตั้งแต่สมาธิ ตั้งแต่ปัญญา แล้วเข้าไปถึงสู่เป้าหมาย เพราะนิพพานไม่ใช่ปัญญา นิพพานไม่ใช่สมาธิ นิพพานไม่ใช่สติ

สติ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้มันเป็นวิธีการเข้าไปสู่นิพพาน นิพพานไม่ใช่ปัญญานะ นิพพานไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น นิพพานส่วนนิพพาน แต่จะเข้าไป   ใช้อะไรเข้าไป  แล้วพอใช้อะไรเข้าไปปั๊บนี่ นี่พูดถึงกระบวนการความเป็นจริงนะ แต่สิ่งที่ว่าไม่ต้องทำอะไรเลย มันจะเป็น เพราะมันเป็นคนเมือง เพราะคนเมืองมันกินแกลบ พอกินแกลบขึ้นมาแล้วมันจะไปอยู่สามัญ แล้วจะเข้าไปถึง

เราจะบอกว่าเวลายึดก็เป็นกิเลส เวลาปล่อยมัน พอปล่อยแล้วก็ไม่มีกิเลส นี่คือความเชื่ออันหนึ่ง เพราะศึกษาตำราก็เชื่อตำรากันอย่างนั้น แต่ในการปฏิบัติไม่เป็นอย่างนั้น ไอ้เวลาพูดนี่มันเป็นบุคคลาธิษฐาน เวลาพระพุทธเจ้าแสดงธรรมนี่ เป็นกิริยาเป็นการบอก อย่างเช่น เราใส่เสื้อผ้า เราถอดออก เสื้อผ้ากับมนุษย์ก็คนละอันนะ  เสื้อผ้าก็เสื้อผ้า  มนุษย์ก็คือมนุษย์ใช่ไหม แล้วอารมณ์ความรู้สึกกับความคิดกับจิตนี่ เวลามันหลุดมันเปลื้องออก มันก็เป็นของมันอย่างนั้น นี่ไงอาภรณ์ของใจคือขันธ์ ๕ อาภรณ์ของใจคือศีล อาภรณ์คือเครื่องประดับ เวลามันแยกออกจากกัน อาภรณ์กับใจก็คนละอัน แล้วนิพพานอยู่ไหนล่ะ แล้วกูก็ปล่อยแล้วนะ  ก็ปล่อยแล้วก็ต้องไม่มีกิเลส   อ้าว เราถอดเสื้อผ้าหมดแล้วก็เป็นพระอรหันต์นะ เพราะกูปล่อยหมดแล้ว แล้วมันเป็นไหม  มันเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า ก็ไม่เห็นเป็น

เพราะนี่ไง เราเปลื้องเสื้อผ้าเราถอดอาภรณ์มันก็เป็นสมาธิเท่านั้น สมาธิคือจิตเท่านั้น พอจิตเป็นสมาธิแล้วเราค่อยทำอีกส่วนหนึ่งเห็นไหม  เราจะพูดว่าคนเมืองก็ทำสมาธิได้ คนบ้านนอกคอกนาจะคนอะไรก็ทำสมาธิได้ เพราะคนก็คือคน ไม่ใช่ว่าคนเมืองทำสมาธิไม่ได้ พอบอกว่าคนเมืองทำสมาธิไม่ได้แล้วเราก็เชื่อกันไป เชื่อตามๆกันไป ฉะนั้น ถ้าเชื่อตามกันไปก็คนเมืองกินแกลบ ถ้าคนเมืองกินข้าวทำสมาธิได้นะ เราเป็นคนเมืองกินข้าว จะเป็นคนเมืองคนบ้านนอกคอกนา ตอนนี้เป็นคนบ้านนอกแล้ว พอมาอยู่ที่นี่ก็เป็นคนบ้านนอก(หัวเราะ) ตอนนี้ไม่ใช่คนเมืองสักคนแต่ถ้าไปกรุงเทพฯจะเป็นคนเมืองหมดเลย แต่ถ้ามานั่งอยู่นี่เป็นคนบ้านนอก(หัวเราะ) เพราะที่นี่มันชนบท ไม่ใช่ในเมือง

ฉะนั้นไอ้คำว่าคนเมืองทำสมาธิไม่ได้นั้นมันเป็นโวหาร เราจะบอกว่า มันเป็นวิธีการหาเหยื่อ แล้วบังเอิญเหยื่อนี่มันพยายาม เหยื่อมันไม่ใช่ตัวจริง เพราะเหยื่อมันแสวงหาผลประโยชน์ เราเป็นเหยื่อมาตลอด เราเป็นเหยื่อกับตัวเราเอง แล้วพอเขาพูดเราก็ยังเป็นเหยื่อเชื่อเขาไปอีกเห็นไหม ฉะนั้นถึงบอกว่า คนเมืองหรือไม่คนเมืองทำสมาธิได้หมด แล้วทำสมาธิก็ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วถ้าสมาธิเกิดขึ้นมาสมาธิจะมากจะน้อยแล้วแต่เราหัดฝึกใช้ปัญญาไป ถ้ามีฐานของสมาธิปัญญามันจะมั่นคงขึ้น ปัญญามันจะเป็นโลกุตตรปัญญาเพราะเกิดจากฐานของสมาธิ มันจะกลับมาทำให้สมาธิมั่นคงขึ้น กลับมาทำให้จิตใจนี้มั่นคงขึ้นพัฒนาขึ้น แล้วออกไปใช้ปัญญาอีก ปัญญานี้จะกลับมาชำระกิเลส มันจะจับกิเลสได้ จะเห็นกิเลสได้ แล้วชำระกิเลสออกไป

ขยันหมั่นเพียรทำไป ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันจะบอกเรา ไม่ต้องให้ใครมาบอก ไม่ต้องให้ใครมารับประกัน ความรู้สึกในหัวใจของเรามันจะรับประกันตัวความรู้สึกของเรา ในหัวใจของเรามันจะรับประกันความจริงของเรา ความจริงที่เป็นจริงในหัวใจมันจะประกันตัวเราเองเป็นสันทิฏฐิโกเป็นปัจจัตตัง ความจริงอันนี้ต่างหากประเสริฐที่สุด ไม่ต้องไปเชื่อใคร ไม่ต้องไปฟังใคร กาลามสูตร พระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อพระพุทธเจ้า ไม่ให้เชื่อใครเลย ให้เชื่อการประพฤติปฏิบัติของเรา ฉะนั้น เวลาเขาบอกว่าคนเมืองทำสมาธิได้หรือไม่ได้ ไม่ต้องไปเชื่อเขา หัดฝึก หัดปฏิบัติแล้วความเป็นไปของเรานี่ ถ้าเราเป็นจริงนะ เราจะกลับมาบอกว่า อาจารย์.. อาจารย์โกหกผมนะนี่ ผมทำแล้วไม่เป็นอย่างที่อาจารย์บอกเลย

ถ้าเราทำได้นะ มันจะเป็นอย่างนั้นเลย แต่เราไม่ต้องไปพูดกับใคร เราเอาตัวเราเองให้ได้ ฉะนั้น ไม่ต้องไปเชื่อ เพราะว่า จริงๆนี่เราเป็นคนปัญญาชน จะทำอะไรนี่ ความลังเลสงสัยมันมาก พอความลังเลสงสัยมันมากปุ๊บนี่ เขาเอาตรงนี้มาเป็นการให้เป็นหลักให้เห็นว่าต้องทำตามเขานี่ไง เราก็เลยเชื่อที่บอกว่าคนเมืองทำสมาธิไม่ได้ เพราะมันทำได้ยากจริงๆ การทำยากหรือทำง่าย คำว่าทำสมาธิคือการเอาชนะตัวเอง ถ้าเราเอาชนะตัวเราเอง ชนะความฟุ้งซ่านได้ ชนะความคิดได้ จิตจะสงบ การเอาชนะตัวเองนี้มันแสนยาก นี่การเอาชนะตัวเองในขั้นของสมถะนะ แล้วถ้าเกิดไปขุดคุ้ยทำลาย การวิปัสสนาญาณคือการทำลายโดยปัญญา โดยปัญญาที่มีสมาธิเป็นพื้นฐานจะไปทำลายอวิชชา

อวิชชาคือความไม่รู้ในจิต ธรรมชาติรู้นี่ มันไม่รู้ในตัวมันเอง มันไปรู้ที่สัญญาอารมณ์ แล้วพอมันเข้ากลับมาเป็นตัวของมันเองเป็นสัมมาสมาธิ แล้วไอ้ตัวธรรมชาติที่รู้นี่ มันจะเริ่มทำลายตัวมันเองให้ธรรมชาติที่รู้ให้เป็นธรรมชาติที่ฉลาด อวิชชาทำให้เป็นวิชชา เป็นธรรมชาติที่ฉลาด วิชชามันจะรู้ตัวมันเอง แล้วมันจะแยกแยะตัวมันเองว่าอะไรควรอะไรไม่ควร สิ่งที่เป็นตัวมันเอง แล้วตัวมันเอง มันมีตัวเองได้ยังไง มันมีตัวมันเอง  ถึงที่สุดแล้วนี่ ฐีติจิต จิตเดิมแท้นี่ ถึงตัวมันเองโดยก้นบึ้ง โดยปฏิสนธิจิตเลย แล้วไปทำลายตัวนั้นเสร็จ แล้วทำลายหมดแล้วนี่ เห็นไหม นี่เป็นสันทิฏฐิโกเป็นการกระทำของเรา

คนเมืองทำสมาธิได้ แล้วสิ่งที่ว่าคนเมืองทำสมาธิไม่ได้แล้วใช้ปัญญากันไปนั้น มันเป็นโลกียปัญญา เป็นเรื่องโลก เป็นเรื่องฌานโลกีย์ เป็นเรื่องไกลตัว ไกลตัวจิตไง ถ้าจิตเข้ามาสมาธิคือตัวของจิตเอง ทำอะไรไป มันจะเป็นประโยชน์ของจิต เราไปใช้ธรรมชาติที่รู้ มันรู้อารมณ์

เราไปพิจารณากันที่อารมณ์ เวลามันปล่อยอารมณ์ไปแล้วนะมันเป็นมิจฉา มิจฉาเพราะปล่อยอารมณ์ไปแล้วนี่มันไม่รู้สึกตัวมันเอง เพราะเวลามันปล่อยแล้วมันจะหายไปเลย หายไปเลยคือไม่มีสติไง เวลาปล่อยไปแล้วนะ ปล่อยอารมณ์ปั๊ปมันจะปล่อยแล้วเกลี้ยงเลย

“ว่าง โอ๋ สบายมากเลย”

 แล้วมีอะไรล่ะ

 “ไม่รู้”

แล้วมีสติไหม

“ไม่รู้”

แล้วเป็นยังไง

“ว่าง”

แล้วไง

“สบายมาก สุขมากเลย”

แล้วเป็นยังไงล่ะ

“ไม่รู้”

คนเมืองกินแกลบเป็นอย่างนี้เห็นไหม เพราะไปปล่อยที่ความคิดไง ไปปล่อยที่สัญญาอารมณ์เห็นไหม พอปล่อยที่สัญญาอารมณ์ปั๊บนี่ ธรรมชาติที่รู้ รู้อารมณ์ แล้วคิดกันที่อารมณ์ แล้วปล่อยที่อารมณ์ พอปล่อยที่อารมณ์มันไม่มีสติ พอปล่อยแล้วมันไม่มีสติ มันไม่กลับมาที่ตัวมันเอง แต่เรามีสติพร้อมนี่ เวลามันปล่อยอารมณ์ ปัญญาอบรมสมาธินี่ เวลามันปล่อยอารมณ์ สติมันพร้อมใช่ไหม พอสติมันพร้อมมันกลับมาที่ตัวเองไง พอปล่อยอารมณ์ ปล่อยธรรมชาติที่รู้ ปล่อยอารมณ์ที่รู้กลับมาสู่ธรรมชาติ คือกลับมาสู่จิต เราถึงบอกว่า ธรรมะเหนือธรรมชาติ ฉะนั้น เหนือธรรมชาตินี่ ถ้าทำจริงเห็นจริงนี่ จะพูด  แล้วใครทำจริงจะซึ้งคำพูดนี้ จะซึ้งคำพูดที่พูดนี้ แต่ถ้าใครยังทำไม่ได้นะ

“เอ๊ หลวงพ่อนี่สงสัยสติไม่ดีนะ พูดวนไปวนมาฟังไม่รู้เรื่อง”

ไม่รู้   ก็เอ็งไม่รู้แต่ข้ารู้ ถ้าหลวงพ่อนี่สติไม่ดีพูดวนไปวนมาไม่รู้จักมีทางออก พูดไปผูกมัดตัวเองจนหาทางออกไม่เจอ ถ้าหาทางออกไม่เจอนะ ป่านนี้คงจะหลงไปนานแล้ว ป่านนี้ คงจะลิ้นพันกันจนหกล้มแล้ว  ยืนอยู่ไม่ได้ แต่นี้พูดเพื่อพยายามจะยืนให้เห็นว่า ถ้าเป็นความจริงจะเป็นอย่างนี้

ฉะนั้นจะบอกว่า คนเมืองทำสมาธิได้ แล้วถ้าเป็นสมาธิจริงๆ เป็นศีล เป็นสมาธิ แล้วจะเกิดโลกุตรปัญญา โลกุตรปัญญานี้จะเป็นปัญญาการถอดถอน  การรื้อค้น การทำลายอวิชชา นี้เป็นพุทธศาสนา พุทธศาสนาตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่พุทธศาสนาโดยตู่เอา ตู่เอา กล่าวเอา ลักขโมยเขามา ครูพักลักจำ อาจารย์องค์ไหนพูดคำสองคำ จับมา จับมา เรียงร้อยกันให้เป็นโวหาร ใครฟังก็บอก เอ้อ พูดเหมือนอาจารย์องค์นั้นเหมือนอาจารย์องค์นี้ ก็ไปจำเขามา ไปตู่เขามา ไปขโมยเขามา มันทำไมจะไม่เหมือน ก็ต้องเหมือน ก็ไปขโมยเขามาอยู่แล้ว มันก็ชัดๆอยู่แล้ว

แต่ถ้าเป็นสันทิฏฐิโกเป็นปัจจัตตัง ไม่ต้องเกี่ยวกับอาจารย์องค์ใดเลย สันทิฏฐิโก ไม่ใช่กาล ไม่ใช่เวลา ทุกคนมีสิทธิรู้ ทุกคนจะรู้เหมือนกัน ทุกคนมีสิทธิถอดถอนกิเลสได้เหมือนกัน ทุกคนได้ถึงกรุงเทพฯเหมือนกัน ทุกคนเข้าถึงนิพพานได้เหมือนกัน นิพพานมีจริงๆแต่ไม่ใช่มีอยู่แล้วเดินไปสะดุดมัน คำว่ามีอยู่แล้วคือสมมุติ คำว่าทำตามความเป็นจริงแล้วไปเห็นจริงมันเป็นตามจริงของมัน ของที่มีอยู่แล้วก็เหมือนขโมย ขโมยของไปซ่อนไว้ แล้วกูก็ไปเอาที่ซ่อนไว้กลับมาเป็นของกู มันขโมยมาตั้งแต่ต้นไง ไปขโมยนิพพานมาก่อน แต่ถ้าไม่ขโมยมันเป็นความจริงนะ เราเข้าไปเป็นความจริง ขุดแร่ธาตุขุดเข้าไปมันจะเจอของมัน นี่ไปเอาแร่ทองคำไปซ่อนไว้ แล้วก็จะไปขุดไง เอาทองคำไปซ่อนไว้เลย กิโลนึง แล้วก็จะขุดๆ  เมื่อคืนนั่งเห็นทองคำ ขุดลงไปเจอ เอ้า ก็กูซ่อนไว้เอง แล้วกูก็มาขุดเอง นี่ก็เหมือนกันนิพพานมีอยู่แล้วมันก็เหมือนกัน ฉะนั้นจะบอกว่า คนเมืองทำสมาธิได้ แล้วทำปัญญาได้ด้วย

ถาม :           ทำไมช่วงนี้ถึงมีพระธาตุออกมามากมาย   บางแห่งก็ให้บูชาด้วย ทราบมาว่ามีการทำของปลอมด้วย ขอความกรุณาหลวงพ่อช่วยชี้แนะด้วยค่ะ

หลวงพ่อ :       ถูกต้อง เมื่อก่อนที่ศาสนายังไม่มั่นคง ศาสนานี้ตอนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่นี่มั่นคงมาก แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมัยพุทธกาล เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญ สิ่งใดจะเจอ ก็จะเจอเป็นของจริง อย่างเช่น จักรพรรดินี่ ขุนนางแก้ว ขุนพลแก้วนี่ แก้วจริงๆนะ ขุนคลังแก้วนี่ ในพระไตรปิฎก จักรพรรดิมีขุนคลังแก้ว แล้วก็อยากพิสูจน์ความเป็นจริง ก็ให้ขุนคลังกับจักรพรรดินี่พายเรือออกไปกลางแม่น้ำ แล้วบอกขุนคลังเลย “เอาทองมา เอาทองมา” อยู่กลางแม่น้ำนะ ขุนคลังแก้วนี่นะ เอามือลงไปจุ่มข้างเรือลงไปในน้ำ ยกขึ้นมาเป็นทองคำเลย เพราะอะไร ขนาดจักรพรรดิยังไม่เชื่อว่าขุนคลังแก้วของเรานี่จะหาเงินทองให้ได้ใช้ตลอดเวลา

จักรพรรดิมันเป็นอำนาจบุญ ขุนคลังแก้วนี่จะแสวงหาปัจจัยข้าวของเงินทองมาให้จักรพรรดิได้บริหารจัดการตลอดเวลา แต่เป็นธรรมนะ ขุนนางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนพลแก้วนี่รบเมื่อไรก็ชนะเมื่อนั้น เพราะจักรพรรดิคือการรวมแว่นแคว้นขึ้นมาเป็นประเทศ สมัยก่อนเป็นแว่นแคว้น กษัตริย์เป็นแว่นแคว้นเล็กๆ เป็นชุมชนๆ แล้วจักรพรรดิก็รวมได้หมดเลย แล้วจะบริหารได้มาก นี่พูดถึงที่มันยังไม่มีเทคโนโลยีเห็นไหม มันเป็นเรื่องบุญเรื่องกรรมมันจะเป็นตามนั้นเลย ฉะนั้นพอสมัยนั้น พระพุทธเจ้าทำสิ่งใดมันก็เป็นตามความเป็นจริง แล้วเวลาเป็นพระธาตุ เวลาตายไปเผาแล้วเป็นพระธาตุเห็นไหม เพราะพระพุทธเจ้ารู้ก่อนแล้ว อย่างเช่นหลวงตาท่านพูดอยู่นี่ ใช่ไหม ในครอบครัวกรรมฐานจะรู้เลยว่า องค์ไหนตายไปนี่ องค์นี้เป็นพระธาตุให้เก็บไว้ให้ดีเลย เพราะว่าท่านแสดงธรรมมานี่ อันนั้นมันเป็นความจริง

ฉะนั้น ทำไมเดี๋ยวนี้พระธาตุมันมีมากนัก เม็ดพลาสติกก็เป็นพระธาตุได้นะเดี๋ยวนี้ เม็ดพลาสติกเยอะแยะเลย ใส่เป็นกระสอบๆเลย สั่งเลยนะ เม็ดพลาสติกแล้วออกมาให้เป็นหยดน้ำเลย ขอ ๕ กระสอบ เดี๋ยวที่นี่จะแจกเม็ดพลาสติก แต่อ้างว่าเป็นพระธาตุ พระธาตุจริงๆก็มี ครูบาอาจารย์ของเราเป็นพระธาตุจริงๆ เราพวกกรรมฐานนะ ใครจะบอกว่าตัวเองเป็นพระธาตุๆนะ ขอให้โกนมาว่าผมใครเป็นพระธาตุขอให้โกนมา แล้วใส่ตลับไว้ ลั่นกุญแจไว้ ๓ ดอก แล้วกรรมการตรวจสอบมันจะเป็นจริงหรือเปล่า

คำว่าเป็นพระธาตุมันเป็นของครูบาอาจารย์เราไง เราเคยได้มา เราเป็นคนที่แบบว่าเราจะไม่เชื่อมงคลตื่นข่าว ใครเอาพระธาตุอะไรมาให้นะเราก็รับไว้ แล้วเราก็แจกคนต่อไป แต่เวลาของเราได้มานี่ เราได้มาจริงๆ เราได้ของอาจารย์สิงห์ทองมา เป็นกระดูกนี่แหละแล้วเราเก็บไว้ พอเราเก็บไว้นี่เริ่มเป็นพระธาตุตั้งแต่กระดูกนี่ มันจะเป็นแก้วเข้าไป จากกระดูกเป็นแก้วเข้าไปมันจะกลืนตัวมันเอง จากทีแรกเป็นกระดูกนะ แล้วก็มุมของกระดูกมันก็เป็นแก้วใส ตกผลึกเข้ามา แล้วมันจะกินตัวมันเองเข้ามาเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ปัจจุบันเลยนะ เราเก็บใส่ตลับไว้อยู่ในย่ามของเรา นานๆเราเอาออกมาดูทีนะ มันเป็นหนึ่งในสี่ ประมาณ ๔ หัวไม้ขีด เป็นองค์เดียว เป็นกระดูกประมาณ ๔ หัวไม้ขีด แล้วมันก็เริ่มกินตัวเข้ามา นี่เป็นพระธาตุ คำว่าเป็นพระธาตุนะเราเห็นกับตาเลย เพราะเราเก็บไว้เอง เราเก็บกระดูกของอาจารย์สิงห์ทองไว้เอง แล้วมันก็กลืนกินตัวมันเข้ามาเป็นพระธาตุ กินเข้ามาเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนเป็นทั้งหมดเลย นี่คือพระธาตุของอาจารย์สิงห์ทอง เราเชื่อมั่นมาก

อย่างเช่นหมู่คณะของเรานี่ เพื่อนนะ ตอนเผาศพหลวงปู่แหวนเราไม่ได้ขึ้นไป ตอนนั้นเราอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงตา ท่านมาหาหลวงปู่เจี๊ยะ แล้วท่านขึ้นไปเผาศพหลวงปู่แหวนก่อน แล้วท่านบอกไม่ไป เพราะว่างานศพหลวงปู่แหวนนี่ มันมีการหาผลประโยชน์กันมาก หลวงปู่เจี๊ยะก็เลยไม่ไป เราก็เลยไม่ได้ไป เพราะเรากะว่าถ้าหลวงปู่เจี๊ยะไปเราก็จะไปด้วย หลวงปู่เจี๊ยะไม่ไป หลวงตาไม่ไป กูก็ไม่ไป เราเลยไม่ได้เห็น แต่พระเพื่อนขึ้นไปนั่ง เวลาเผาศพหลวงปู่แหวน  นี่พระเพื่อน  บอกนั่งตอนกลางคืน พองานเสร็จแล้วก็นั่งล้อมเมรุหลวงปู่แหวนนี่ แล้วเขาก็จุดไฟเผาเดี๋ยวนั้นเลย แล้วพระก็นั่งล้อมกัน เพราะ พระเรานี่เคารพศรัทธากัน กรรมฐานจะรักกันด้วยหัวใจ พอนั่งอยู่นี่ เวลาเผาไปๆ นี่เพื่อนเล่าเอง พระธาตุนี่ มันกระเด็นออกมาจากกองไฟ มันตกใส่พระนี่ เป๊าะ เป๊าะ เป๊าะ เต็มไปหมดเลย เดี๋ยวนั้นเลย นี่ถ้าเป็นพระธาตุ เป็นศักยภาพ เป็นความเป็นจริงนี่ มันเป็นเรื่องพิสูจน์เป็นความจริงเดี๋ยวนั้นเลย ไม่ใช่แห่กันไป แห่กันมา ใส่กระสอบแจกกันไปแจกกันมา ไอ้นี่มันเป็นธุรกิจ

พระธาตุจริงๆก็มี พระธาตุโกหกก็เยอะ แล้วพระธาตุโกหกทั้งนั้น ไปเก็บก้อนกรวดก้อนหินกันมา ไปเอาพลาสติกกันมาแล้วก็เอามาย่อยสลายแล้วมาแจกกันว่าพระธาตุๆ   พระธาตุเพราะอะไร เพราะเราชาวพุทธเราเชื่อกันไง เราอยากได้พระธาตุเราอยากได้ไว้เคารพบูชาไง เขาต้องการความเชื่อ เขาหาผลประโยชน์ของเขาไง ทีนี้จะมีพระธาตุไม่มีพระธาตุมันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ แล้วพระธาตุในหัวใจพุทโธเรานี่ทำไมไม่ดูแลล่ะ โยมมีพระธาตุอยู่คนละองค์ในหัวอกนะ  พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ธาตุรู้นั้น คือธาตุของพระพุทธเจ้า เรามีพระธาตุอยู่กลางหัวใจกันคนละองค์นั่น  พระธาตุที่ตัว   เหมือนกับว่าพ่อแม่ที่บ้าน พระอรหันต์ของลูกไม่ดู วิ่งเต้นหาพระอรหันต์กัน แต่พระอรหันต์ที่บ้านไม่เคยดูเลย อันนี้ก็วิ่งหาพระธาตุกันหมดเลย แล้วพระธาตุในหัวอกไม่ดู พระธาตุอยู่ในใจเรานี่ พระธาตุอยู่กับเรานี่ไม่เห็นแต่จะเที่ยวไปขอพระธาตุคนอื่น

ฉะนั้น อย่างเช่นกรณีหลวงปู่แหวน กระเด็นออกมาๆเลยนะ พระนี่เก็บกันไว้เต็มเลย เพราะหลวงปู่แหวนท่านมีอำนาจวาสนา ในวงกรรมฐานครูบาอาจารย์เราพูดไง ว่าหลวงปู่แหวนท่านไม่ต้องเทศน์เลย นั่งเฉยๆ นั่งดูดบุหรี่นี่ โอ๋ย คนเคารพศรัทธาทั้งประเทศเลย นี่อำนาจวาสนาของเขา นี่พระ นี่ครูบาอาจารย์เราพูดกันเป็นคติธรรมนะ เราไม่ใช่มาพูดเพื่อเอามาเทียบเคียงนะ แล้วท่านก็ยกว่าหลวงตาเรานี่ บอกดูหลวงตาเราสิ โอ๋ เทศน์วันละ๕ รอบ ๑๐ รอบ เทศน์จนเหนื่อยกว่าคนจะศรัทธา หลวงปู่แหวนไม่ต้องเทศน์เลย อยู่เฉยๆ คนศรัทธาน่าดูเลย หลวงตาเราเทศน์ทั้งวันเลย เทศน์จน โอ๋ จนเหนื่อยจนหอบกว่าคนจะศรัทธา เห็นไหมวาสนาคนมันต่างกันเห็นไหม นี่เราพูดด้วยความเคารพบูชานะ แต่มาพูดให้เห็นอำนาจของคนวาสนาของคน มันของแต่ละคน

ฉะนั้นบอกว่าทำไมเดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี่ถึงมีพระธาตุกันมากมายนัก ถ้ามีพระธาตุกันนี่นะ เรามีพระธาตุเราเอาไว้เคารพบูชา   เห็นไหม ใครไปเอาพระธาตุไปถวายหลวงตาสิ    ทำไมหลวงตาท่านไม่ตื่นเลยล่ะ ทำไมเอาอะไรไปถวายท่าน ท่านบอกให้เอากลับไปบ้านนะ เอาไปกราบไหว้บูชาที่บ้าน เราไม่ได้เอาครูบาอาจารย์เอาพระธาตุมาเป็นสินค้ากัน เราไม่ได้เอาพระพุทธศาสนามาเป็นสินค้าทำธุรกิจกันนะ เราเป็นชาวพุทธ เรามีศาสนาไว้เคารพบูชา เราไม่มีศาสนาเอาไว้ทำมาหากินนะ ขนาดเรามีบาตรใบเดียวเราบิณฑบาตเราก็พอแล้ว เวลาบิณฑบาตนะยังคิดถึงคุณพระพุทธเจ้าเลย ถ้าพระพุทธเจ้าไม่วางธรรมวินัยไว้นี่ กูบิณฑบาตเขาไม่ใส่บาตรกูหรอก ออกไปบิณฑบาตไม่มีใครเขาใส่หรอก แต่ที่ไปบิณฑบาตเขาใส่เพราะพระพุทธเจ้าสอนไว้ พระพุทธเจ้าสอนพุทธบริษัท ๔ เช้าให้ทำบุญกุศล เราได้กินได้อยู่นี่ พระพุทธเจ้าให้ไว้ทั้งนั้น แล้วทำไมเอาศาสนานี้มาทำธุรกิจกันอยู่อีก

ฉะนั้นพระธาตุนี่ถ้ามีก็เก็บไว้บูชาที่บ้าน ถ้ามีนะ  ลูกศิษย์มีหลายคนที่เขามีนี่ เขามีนะ แล้วครูบาอาจารย์บอกพระธาตุนี่ ต้องทำความสะอาด แล้วบูชาด้วยของหอมด้วยดอกมะลิ ลูกศิษย์เรานี่ มันจะเพิ่มเลย เดี๋ยว ๙ องค์  ๑๐ องค์  ๑๘ องค์ เขาจะมีของเขาเยอะแยะเลย แล้วเขาเอามาเผื่อแผ่กัน ถ้ามันมีอย่างนี้มันมีเองมันมาเองเราก็ทึ่งนะ แล้วของอย่างนี้มันมีอำนาจวาสนาบารมี ไม่ต้องไปอวดกัน ใครมีพระธาตุก็ไปบูชากันหมดเลยแข่งกันว่าใครจะมี ๕ องค์ ๑๐ องค์ ไอ้ใครมีก็มาคุยโม้ ไอ้ใครไม่มีก็นั่งคอตก แล้วเอ็งได้อะไรล่ะ แล้วพระธาตุนี่ พอนั่งคอตก พระธาตุในหัวใจมันก็ตกไง พระธาตุเราไม่เห็นเพิ่มเลย พระธาตุคนอื่นเพิ่มเลย ไอ้พระธาตุก็ไม่เพิ่ม ไอ้ใจก็ตกด้วย ไอ้พระธาตุองค์นี้มันก็ยิ่งเฉาใหญ่เลย เอ๊..พระธาตุกูไม่เพิ่ม พระธาตุกูไม่เพิ่ม ทีนี้พระธาตุคนอื่นเขาเพิ่ม พระธาตุนอกก็ไม่ได้ พระธาตุในก็หายอีก

ฉะนั้น ไอ้ที่มีพระธาตุๆนี่ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าจะเป็นพระธาตุได้นี่ต้องเป็นพระอรหันต์ เป็นการยืนยันว่ามันมีไง มันมีมรรคมีผล ศาสนาเรามีมรรคมีผล เราเคารพบูชาของเรา แต่เราอย่าตกเป็นเหยื่อของสังคมสิ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ เหมือนความรู้นะ ความรู้ไม่ได้แบกหามใช่ไหม เรารู้ว่ามีพระธาตุที่ไหนเราก็เคารพบูชา ดีสิก็ไม่ต้องเก็บล้าง เราเคารพไปกราบพระธาตุบ้านใครที่มีก็ไปกราบแล้วก็กลับบ้าน ไอ้เจ้าของมันต้องคอยทำความสะอาดนะ เราไม่ต้องทำความสะอาดเลย อะไรที่ไม่มีนะ เรามีในหัวใจเรา ถ้ามีก็เป็นภาระไปหมดนะ  ขอให้มีคุณธรรมเถอะ ขอให้มีความดีของเราเถอะ อย่างอื่นเป็นภาระรับผิดชอบทั้งนั้น แม้แต่ร่างกายยังต้องทำความสะอาดมันเลย แล้วยังจะไปเอาอะไรมาเป็นภาระรุงรังขนาดนั้น เอาเรื่องใจเรานี่ เอาให้พ้น

ถ้าเอาเรื่องใจเราพ้นแล้วนะ เราเคารพเห็นไหม อย่างที่ว่า หลวงตาท่านบอกเลย ถ้าผมนึกถึงหลวงปู่มั่นที่ไหน ผมนึกถึงภาพหลวงปู่มั่นลงกราบเลย เราไม่ต้องไปหล่อหลวงปู่มั่นนะ นี่อยากมีหลวงปู่มั่นนะ โอ้โฮต้องไปหล่อหลวงปู่มั่นนะ ไปปั้นแบบ แกะแบบ โอ๋ย เทหลวงปู่มั่นนะเอาไว้ไปกราบที่บ้าน เรานึกถึงหลวงปู่มั่นเรากราบเลย นึกถึงที่ไหนนึกถึงเห็นไหม พุทโธนึกที่ไหนก็มีกับเรา นึกถึงหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นอยู่กับเรา คิดถึงพ่อ พ่ออยู่กับเจ้า คิดถึงความดีจะเกิดบนหัวอกเลย คิดถึงพุทโธๆ บานกลางหัวใจเลย นี่ มีคุณประโยชน์มากขนาดนั้น

ไม่เอา นิสัยเราก็ไม่เอา อะไรก็ไม่เอา เอาไว้ทำไม แต่ที่ทำนี่ ไม่เอาๆ ดูสร้างศาลาสิ ใครมานี่ ไปวัดไหนมา ศาลาไม่เคยใหญ่เท่าวัดนี้เลย ไหนว่าไม่เอา ก็ไม่ใช่ศาลาใคร ก็ศาลาโยมนั่งนั่นแหละ ไม่เอาๆ สร้างซะใหญ่โตเลย แล้วบอกไม่เอาๆ เหมือนตุ๊กแกเลยร้องไม่เอาๆ แต่สร้างเอาๆ  มันจำเป็น มันจำเป็นต้องใช้เราก็ทำ แต่ทำไว้ใช้

นี่พูดถึงพระธาตุปลอม พระธาตุจะจริงจะปลอมยกไว้ แต่ประสาเราว่านะ ปลอมเยอะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะปลอมแล้วคนเชื่อ ของจริงคนไม่ค่อยเชื่อหรอก เพราะของจริงเขากราบกันเป็นธรรมชาติ มันเป็นธรรมชาติ มันไม่วิจิตรพิสดารไง แต่ถ้าของปลอมนี่นะเขาต้องตกแต่งโอ้โฮ เขาขึ้นนะ เขาทำมณฑป โอ้โฮไปเห็นนี่ ทึ่งเลยนะ อันนั้น ทาสหมดเลยนะ เป็นทาส เป็นไม้ เป็นอิฐ เป็นปูนนะ โอ๋ กราบกันใหญ่เลยนะ ไม่รู้กราบอิฐกราบหินกราบปูนกันใหญ่เลย มันสวย แต่ของจริงนี่นะ มันอยู่ในตลับ วางไว้ไม่มีใครดู พระธาตุจริงๆคนมองไม่ขึ้นนะ พระธาตุปลอมๆเขาประดับไว้ไง โอ้โฮ ดอกไม้ธูปเทียน สิบบาทๆๆ โอ๋ ซื้อกันใหญ่เลย พระธาตุปลอมๆคนชอบ พระธาตุจริงๆ คนมองไม่เห็น

ฉะนั้น นี่พูดถึงพระธาตุไง เราไม่ได้ลบหลู่นะ แต่เราไม่ชอบเรื่องธุรกิจ เราไม่ชอบเรื่องการหาผลประโยชน์ ที่พูดนี้พูดเพื่อไม่ให้เป็นธุรกิจแล้วเราไม่ใช่เป็นเหยื่อ ต้องไปเป็นธุรกิจกับเขา แต่เคารพไหม เคารพ เคารพด้วยความสามัญสำนึก เคารพด้วยอะไร พระบรมสารีริกธาตุเราก็เคารพ ที่ไหนเราก็เคารพ เราก็กราบของเราได้ ไม่จำเป็นต้องมีก็กราบได้ พระศาสดาเป็นสมบัติสาธารณะ ไม่จำเป็นต้องเอาพระธาตุมาไว้ในตลับแล้วถือไปถือมา มีไว้จากความเชื่อ มีไว้เคารพบูชาแค่นี้เราก็พอแล้ว

ถาม :            ในช่วงเทศกาลสำคัญกุฏิเต็ม กราบขออนุญาตเอาเต็นท์มากางใต้ต้นไม้

หลวงพ่อ :       ได้ ตามสบายเลย เอาเต็นท์มากาง ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เอาเต็นท์มากาง เอาเครื่องใช้ไม้สอยส่วนตัวมา สุดยอดเลย.. ไม่ต้องเก็บรักษานี่ พระไม่ต้องดูแล สุดยอดเลย ได้

นี่พูดถึงพระธาตุแล้ว วันนี้พูดถึงคนเมืองกินแกลบ บ้านนอกกินข้าว มันมีคนมาถามหลายคน เขาถามว่าหลวงพ่อ มีพระเขาบอกว่าคนเมืองทำสมาธิไม่ได้จริงไหม ผมก็เป็นคนเมืองคนหนึ่งผมเชื่อนะ ผมก็เลยไม่ต้องทำสมาธิเลย มาถามหลายคนมาก วันนี้นึกได้ก็เลยพูด พูดค้านว่าคนเมืองอย่างนั้นเป็นคนเมืองกินแกลบ ถ้าเราเป็นคนเมืองกินข้าวเราทำสมาธิได้ เพราะคนคือมนุษย์ที่ทำได้หมดเนาะ เอวัง